
อย่างไรก็ตาม ความสะดวกสบายในการซื้อสินค้าและบริการ เมื่อมากับกิจกรรมส่งเสริมการตลาด ซึ่งเป็นเทคนิคและวิธีการจากธนาคารเจ้าของบัตรเครดิต เพื่อเพิ่มความดึงดูดใจให้ผู้ใช้บัตรเครดิตนี้เอง อาจทำให้เกิดนิสัยการใช้เงินเกินตัวได้ กล่าวคือ ใช้จ่ายเงินมากกว่าที่หามาได้ จึงเป็นพฤติกรรมที่ไม่พึงกระทำ นอกจากนี้ ยังเพิ่มภาระทางการเงินหากคุณไม่สามารถชำระหนี้ก้อนดังกล่าวแบบเต็มจำนวนเมื่อครบกำหนด เพราะคุณจะต้องเสียดอกเบี้ยจ่าย เสียค่าธรรมเนียม หรือมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีก ซึ่งหากรวมกันแล้วจะอยู่ในอัตรา 20% ต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงมาก ฉะนั้นแล้ว ก่อนที่จะรูดบัตรซื้อสินค้าหรือบริการใด ต้องจำให้ดีว่า บัตรเครดิตนั้นควรใช้เมื่อจำเป็นจริงๆ และจะต้องชำระหนี้ให้หมดโดยเร็วที่สุด "บัตรเครดิต" บล็อก เคยได้รับอีเมลสอบถามเกี่ยวกับ วิธีการคำนวณดอกเบี้ยบัตรเครดิต ว่ามีวิธีคิด และคำนวณอย่างไร ผมขอยกตัวอย่าง และมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ รูดบัตรเครดิตเพื่อชำระค่าอาหาร และค่าซ่อมรถยนต์ไป จำนวน 25,000 บาท เดือน กรกฎาคม 2558 ต่อมาในเดือน สิงหาคม 2558 คุณได้รับใบแจ้งหนี้ ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
ยอดเงินถึงวันที่ 5 ส.ค. 58 (Billing Date)
วันครบกำหนดชำระ 30 ส.ค. 58 (Payment Due Date)
ยอดรวมที่ต้องชำระ 25,000 บาท (Outstanding Bal.)
ยอดเงินขั้นต่ำที่ต้องชำระ 2,500 บาท (Minimum Payment Due)
ในวันที่ครบกำหนดชำระ คุณสามารถที่จะเลือกชำระเต็มจำนวน 25,000 บาท หรือ เลือกชำระขั้นต่ำเพียง 10% ของยอดเต็ม คือ 2,500 บาท โดยปกติแล้วบริษัทบัตรเครดิตมักเสนอให้จ่ายขั้นต่ำ 10% ของยอดฯ หากคุณเลือกจ่ายขั้นต่ำจะทำให้คุณชำระเงินมากขึ้นจาก “ดอกเบี้ย” ถ้าในกรณีนี้ คุณตัดสินใจที่จะชำระบางส่วน จำนวน 20,000 บาท และเป็นหนี้คงค้างจำนวน 5,000 บาท เมื่อคุณกลับมาคิดดอกเบี้ย ที่ต้องจ่ายสำหรับเงินต้นคงเหลือจำนวน 5,000 บาท คุณอาจจะคิดว่าดอกเบี้ยจ่ายคงไม่เท่าไร แต่เมื่อรอบบัญชีถัดมา (5 ก.ย. 58) ดอกเบี้ยจ่ายที่พบอาจทำให้คุณตกใจ เพราะแทนที่คุณจะจ่ายดอกเบี้ยเพียง 19.17 บาท (อัตราดอกเบี้ยต่อปี (20%) x จำนวนวัน (30 ส.ค. – 5 ก.ย. 58) x เงินต้น (5,000)) แต่...คุณจะต้องจ่ายถึง 469.04 บาท ดังตารางคำนวณต่อไปนี้
สิ่งที่ทำให้ดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น มาจาก 2 ส่วน คือ ยอดหนี้ที่ใช้คิดดอกเบี้ย และ จำนวนวันที่ใช้คำนวณดอกเบี้ย
- ส่วนที่ 1. ยอดหนี้ที่ใช้คิดดอกเบี้ย ไม่ได้มีเพียงแต่ยอดหนี้คงเหลือนับจากวันครบกำหนดชำระเพียงอย่างเดียว (5,000 บาท) แต่คิดจากยอดหนี้เต็มจำนวน โดยคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่รูดซื้อสินค้าและบริการ
- ส่วนที่ 2. จำนวนวันที่คิดดอกเบี้ย ซึ่งคิดตั้งแต่วันที่บันทึกจนกระทั่งถึงก่อนวันครบกำหนดชำระ 1 วัน โดยใช้ยอดหนี้ซื้อสินค้าหรือบริการเป็นเงินต้นในการคำนวณ (ส่วนที่ 1) และ จำนวนวันที่คิดดอกเบี้ยยังคิดต่ออีก ในวันที่ครบกำหนดชำระจนกระทั่งถึงวันตัดยอดของรอบบัญชีถัดไป (5 ก.ย. 58)
ดังนั้น อาจจะกล่าวในทางเทคนิคได้ว่า คุณเปิดโอกาสให้ผู้ออกบัตรเครดิตคิดดอกเบี้ยในระยะปลอดดอกเบี้ยได้เต็มที่เลยทีเดียว ซึ่งรายละเอียดในการคำนวณดอกเบี้ยจะไม่ได้แสดงในใบเรียกเก็บหนี้ แต่จะแสดงอยู่ในข้อควรปฏิบัติและเงื่อนไขในการใช้บัตรเครดิต ซึ่งจะเป็นเอกสารแนบในใบเรียกเก็บในแต่ละเดือน ซึ่งต้องบอกว่า เหล่าลูกหนี้แทบจะไม่เคยดู หรือศึกษารายละเอียดในส่วนนี้เลย จริงไหมครับ...
บัตรเครดิต จะให้คุณหรือให้โทษ อยู่ที่วิธีการใช้ของแต่ละคน หากคนนั้นสามารถควบคุมการใช้บัตรเครดิตอย่างระมัดระวังได้ ก็จะเป็นประโยชน์มากกว่าโทษแน่นอน วิธีที่ดีที่สุดในการใช้บัตรเครดิตอย่างมีประสิทธิภาพ คือ เมื่อตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการแล้ว คุณต้องแน่ใจว่าจะมีเงินจ่ายเต็มจำนวนเมื่อครบกำหนด หรือ พยายามชำระหนี้คืนให้เร็วที่สุด สรุปก็คือ บัตรเครดิตใช้ได้เมื่อยามจำเป็น และจะต้องจ่ายคืนแบบเต็มจำนวนหรือชำระหนี้คืนให้เร็วที่สุด ...